ไม่มีแฟนบอล แต่มีการลุ้นแชมป์แบบนี้เข้ามาแทน ปีก่อน "จืดชืด" เพราะเด็กหงส์ไล่เก็บชัยชนะต่อเนื่อง 18 นัดปีก่อนพวกเขาได้ 52 จากชัยชนะ 17 เสมอ 1 ปีนี้แต้มหลุดไปถึง 18 คะแนน เรียกว่าหายไปเยอะ
นั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งของความสนุกในกลุ่มลุ้นแชมป์ ผมคิดว่า...คงไม่ไกลจากความจริงมากนัก คราวนี้เมื่อดูตารางคะแนนที่ไม่เคยโกหกล่าสุด "จ่าฝูง" กับอันดับ
นั่นหมายความว่าการลุ้นแชมป์ปีนีเปิดกว้าง การ "ตัดแต้ม" มีเกิดขึ้นตลอดทุกสัปดาห์ ยังไม่มีทีมไหนโกยคะแนนทิ้งได้ห่างกว่ากันมากนัก
เรียกว่า "หนีไม่ออก" แบบนี้คนลุ้นบอกสนุก
โอเค "โมเมนตัม" เวลานี้เป็น แมนฯซิตี้ ที่เก็บแต้มจนขึ้นทอปทรี แถมมีเกมในมือที่พร้อมแซงขึ้น "จ่าฝูง" ในคืนวันพุธ ถ้าถามว่าอะไรคือปัจจัยตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีก
ผมมองว่ามี 2 เหตุผลหลักๆ ในซีซั่นที่ไม่ปกติ ด้วยโปรแกรมที่อัดแน่น เตะเสาร์ชนพุธ แบบนี้...
1 ศักยภาพของทีม
ข้อนี้คุณต้องมีนักเตะใช้งานได้มากกว่า 15 คน 11 คนแรกบวกตัวสำรองและสามารถหมุนนักเตะใช้งานแล้วผลงานไม่ดรอปลง ศักยภาพแนวลึกจะเป็นตัววัดการไล่เก็บแต้มใน10 นัดสุดท้ายได้มากกว่าปีก่อนๆ
2 ใครลบจุดบอดได้เร็วกว่า
อันนี้ชัดเลย...เพราะการที่แต้มไล่เบียดกันอย่างสนุก ความห่างมีไม่มาก ไม่มีพวกชนะรวด โกยแต้มลอยละลิ่ว เท่ากับว่าหลายทีมมีปัญหาให้แก้ไขกันอยู่เรื่อยๆ
ไม่โน่น ก็นี่ ไม่กองหลังก็ กองหน้า ไม่เจ็บก็ฟอร์มตก จุดนี้ขึ้นกับประสบการณ์โค้ช และแน่นอนข้อ 1 (ศักยภาพของทีม)
ผมยังไม่ลงลึกรายละเอียดนะครับ....ทั้งปริมาณและคุณภาพ เอาเป็นว่าเขียนแบบแตะๆ ให้เห็นภาพกว้างๆ เพราะอยากเน้นหลังเกม เลสเตอร์-เชลซี มากที่สุด
ดูเหมือนว่าเขียนมาถึงตรงนี้จุดบอดของหลายทีมกำลังแก้กัน
บางทีมเริ่มแก้ได้เลย รอดูว่าจากนี้จะไล่เก็บแต้มแบบยาวๆหรือไม่ อย่างเช่น แมนฯซิตี้ ที่แก้เกมรับอันหละหลวม พลาดง่าย เสียง่ายได้แล้ว รูเบน ดิอาส เริ่มโชว์ฟอร์ม แถมเข้าขากับ จอห์น สโตน
เรือใบกลายเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกไปแล้ว เมื่อรับกลับมาแน่น ข้างหน้านั้นเป็นจุดแข็งของพวกเขาอยู่เป็นต้นทุน เต็งหนึ่งถูกมองว่าน่าจะถึงเวลาติดเครื่องได้แล้ว
แมนฯยูไนเต็ด มี 37 แต้ม ถ้าเทียบปีก่อนคือตามหลังหงส์ 15 อันดับจะอยู่ที่สี่ แต่ทว่านั่นคือแต้มจ่าฝูง ที่ต้องยอมรับว่าปีก่อน หลังแพ้แดงเดือด ม.ค. นี่แหละ ทีมตามหงส์แดง 30 แต้ม
ตอนนั้นคือ 22 นัด หงส์เก็บได้ 64 แต้ม ผีเก็บได้ 34 แต้ม 12 เดือนผ่านไป...ผลเสมอแดงเดือด มีการเปลี่ยนแปลง ทีมน้าลูกอมนำลิเวอร์พูล 3 แต้มจากผลงานของทีมพัฒนาขึ้น
ส่วนแชมป์เก่าดรอปลงไป ถือว่าเป็นแรงบวก สองทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ ถูกจับตามองมากขึ้น แล้วคู่แข่งทีมอื่นนอกเหนือจากหงส์แดง ที่รอการแก้ปัญหาเพิ่มเติม
คือขจัดปัญหาเกมรับได้ แต่เกมรุกกลับฝืด เหมือนไม่สมดุล จะโทษว่าต้องโยกกองหลังไปมา ถอยกลางไปเล่นเซนเตอร์
แต่ในเกมที่ชนะ ก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ เพราะจริงๆปัญหาปีนี้ของแชมป์เก่า มันมีให้แก้ไขเยอะ กองหลังเจ็บ, สลับคู่เซนเตอร์ 14 คู่ไปมา แต่ยังขึ้นจ่าฝูง
มันพึ่งมาฟอร์มตกในสี่นัดหลังสุดที่ไม่ชนะใคร ยิงไม่ได้สามเกมต่อเนื่อง กองหน้าที่เคยยิงเป็นกอบเป็นกำดันมาหลุดฟอร์ม ขาดความมั่นใจ โอกาสก็สร้างเยอะแต่ละเกม เพียงแค่มันขาดความเฉียบคมเท่านั้น
ตรงนี้รอดูการแก้ไขปัญหาของ เจเค
เชื่อว่าเขาคงวิเคราะห์ปัญหาตามศาสตร์ฟุตบอล ไม่ใช่จับปัญหานี้ไปโยงกับปัญหาอื่น เช่น กองหน้ายิงไม่ได้ (สร้างเกมรุก สร้างโอกาสได้) จะไปโทษว่าเพราะปรับกองหลัง ข้อนี้ผมไม่เห็นด้วย...เพราะวันที่ถล่มเลสเตอร์, วูล์ฟ, พาเลส ทุกคนก็ร่าเริงดีอยู่
พอมาดรอปในสี่นัดล่าสุดนี้....มีการโทษว่าเพราะ เอากองกลางมาเล่นกองหลัง ทำให้กองกลางขาดตัวหลัก....แต่ประเด็นคือทีมยัง "สร้างจังหวะเข้ายิง"
แดนสุดท้ายยังได้ซัดประตูมากกว่าคู่แข่งทุกทีมที่เจอ แม้กระทั่งล่าสุด แค่มัน...ไม่ได้ อันนี้ที่ต้องยอมรับคือเงื่อนไขในการเข้าไปยิงลดลง แบบนี้เป็นปัจจัยได้ อาจเป็นข้อ 4-5 ที่ส่งผลน้อยกว่าข้อแรกๆ...
ที่สามตัวทำข้างหน้าดันขาดความมั่นใจพร้อมๆกันในเวลานี้ โอเคครับ....มาว่ากันถึงอีกสองทีมดัง
เลสเตอร์ กับ เชลซี เจอกันในช่วงเหมาะเจาะ ทีมของรอดเจอร์ส ต้องส่งสัญญาณว่าพวกเขา "พร้อม" ล่าแชมป์ด้วย อีกทั้งเรื่องเหลือเชื่อนับจากการคุมทีมบอล เขายังไม่ชนะเชลซีได้เลย
15 เกมที่ รอดเจอร์ส vs เชลซี สถิติชนะของเขาคือ 0 ครั้ง
ทางด้าน เชลซี ของแฟร้งค์ แลมพาร์ด ต้องกระตุกตัวเองให้ขึ้นมาให้ได้ หากชนะแต้มขยับ ความกดดันลด โดยเฉพาะส่วนตัวแลมพาร์ด เขาเริ่มโดนวิจารณ์ว่าใช้เงิน 200 ล้านปอนด์ กลับผสมผสานนักเตะไม่ได้
เกมนัดนี้ รอดเจอร์ส ไม่เปลี่ยนตัวใช้ชุดเดิมที่อัดเซาธ์แฮมป์ตัน ใช้รูปแบบ 4-2-3-1 เหมือนเดิม แบ๊กสองข้าง คาสตานเญ และจัสติน สองคนนี้ รอดเจอร์ส จับสลับยืนซ้ายและขวาได้ ไม่เคอะเขิน
คู่เซนเตอร์ โฟฟานา และ เอแวนส์แม้ โซยุนซู พร้อม (นัดก่อนลงมาละ) เป็นสำรองไปก่อน ตัวรับคู่กลาง เตเลมานส์ กับ เอนดีดี ตัวทำสามคน อัลไบรท์ตันทางขวา
ส่วนทางซ้าย ฮาร์วีย์ บาร์นส์ โดย เจมส์ แมดดิสัน คือตัวรุก หน้าเป้าก็ วาร์ดี้ ในยุคของ รอดเจอร์ส นั้น ไม่ใช่เล่นสวนกลับอย่างเดียว
หลายเกมเขาคอนโทรลบอล พาสซิงเกมใส่คู่แข่งก็มี โดยเฉพาะการเจอทีมเล็ก แต่พอเจอเกมใหญ่ นั้นรับแล้วสวน เหมือนนัดถล่มแมนฯซิตี้ 5-2
ฝั่งเชลซีเปลี่ยนสี่คน ไค ฮาเวิร์ตส์, เอบราแฮม (คนอังกฤษออกเสียงเอแบรม ด้วยซ้ำ) งดออกเสียงตัว H (Abraham) โอดอย และรีส เจมส์ ส่วน ก็องเต้ เจ็บเข่าลงไม่ได้
แนวรับสี่คนเป็น ติอาโก ซิลวา กับ รือดิเก้อ แบกสองข้าง ชิลเวลล์ และ เจมส์ คู่กลาง เมานต์ คู่กับ โควาสิช โดย ฮาเวิร์ตส์ รับบทกลางรุก ตัวข้าง พูลิสิช กับ โอดอย โดย เอบราแฮม หน้าเป้า
สำรองก็ ติโม แวร์เนอร์, ฮาคีม ซีเย็ค นี่เป็นอีกเกมที่ แลมพ์ ต้องทำให้เล่นเข้ากันให้ได้
รูปเกมยังไม่ทันตั้งลำอะไรมาก...เลสเตอร์ นำก่อน จากลูกเตะมุม ที่ เอนดิดี เก็บบอลหน้าเขตโทษแล้วยิงไซด์ก้อย บอลกระแทกเสาเข้าประตู...1-0 แค่หกนาที
จากนั้นนึกภาพออกนะครับว่าใครจะบุก ใครจะรอสวน เกมเข้าทางเลสเตอร์ ที่ให้เชลซี ครองบอล แล้วพวกเขารอสวน วาร์ดี หลุดเดี่ยว...ชิพบอลติดมือ เมนดี
การเตะบอลจาก ชไมเคิล เข้าแดนเชลซี แล้วรอเก็บจังหวะสอง เล่นกัน 4 จังหวะได้ประตู 2-0 ท้ายครึ่งแรก อัลไบรท์ตัน เก็บบอลสองแล้วเหลือบมอง วาร์ดีกับ แมดดิสัน ก่อนครับ
นี่คือความเข้าใจแทกติกของ นักเตะรอดเจอร์ส เพราะบอลพวกเขาทะลุทะลวงไปข้างหน้าเร็ว...
พออัลไบรท์ตันก่อนตวัดข้ามไลน์กองหลัง แมดดิสัน หลุดเข้าไปยิง ทีมรอดเจอร์ส ได้ประตูต้นเกมและท้ายครึ่งแรก...เหมาะเจาะอย่างยิ่ง
เลสเตอร์ สร้างโอกาสเข้าไปยิง 5 ครั้งเข้ากรอบ 4 ได้ 2 ลูก มันคือ "ความคม" ของจังหวะจบนั่นเอง
ส่วนครึ่งหลัง....บอลเข้าทางเลสเตอร์ รอสวน รวมทั้ง รอดเจอร์ส เปลี่ยนเล่น4-4-2 เพื่อให้กองหน้า เพรสคู่เซนเตอร์ เชลซี จนออกบอลยาก กลายเป็นพวกเขา
ได้ลุ้นมากกว่าที่เชลซีจะได้ประตูตีไข่แตกซะอีก คุมเกมบุก ครองบอลมากกว่า แต่เข้าทำไม่ได้ถนัดเลย แลมพ์ เปลี่ยนเอา ซีเยคและแวร์เนอร์ ลง ก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก เจอ เลสเตอร์ สวนมาแต่ละเที่ยวเกือบโดนลูกสาม
ก่อนจบเกม เลสเตอร์ ชนะ ขึ้นจ่าฝูง ที่ 38 แต้ม เชลซี แพ้เกมที่ 6 ของซีซั่น....มี 29 แต้ม ความพ่ายแพ้ของเชลซี เกมนี้...กลายเป็นความกดดันของทีม กลับมาลุ้นทอปโฟร์ โดยอยู่นอกพื้นที่
ขณะที่สื่อเองก็เริ่มหาข่าว ผ.จ.ก. คนใหม่แทนที่ แลมพาร์ด กันแล้ว เชื่อว่าเสี่ยหมี คงมีความอดทนไม่มาก มันก็เหมือนที่เขาปลดโค้ชมาตลอดเวลา
ถ้าจำกันได้ปี 2015 เชลซียุค มูรินโญ่ ก่อนบุกเยือนเลสเตอร์ เล่นไป 7 นัด ชนะ 2 เสมอ1 แพ้ 4 วันรุ่งขึ้น มูรินโญ่ โดนไล่ออก
เที่ยวนี้ แลมพ์ ลูกน้องเก่า ก่อนเยือนเลสเตอร์ 7เกม ชนะ 2 เสมอ1 แพ้ 4 บังเอิญเหมือนกันอีก.....
รอดูนะครับ ผมว่าน่าจะนับถอยหลังกันได้แล้ว
ส่วนเรื่องการลุ้นแชมป์ก็ดำเนินไปด้วยความสนุก
เมื่อ "จ่าฝูง" เปลี่ยนหน้า แม้ว่าชั่วคราวแต่มันก็มีผลอยู่บ้างครับ โดยคืนวันพุธ ทั้งสองทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ คงพลาดไม่ได้
ซิตี้ แข่งก่อนถ้าชนะก็ขึ้นจ่าฝูง ยูไนเต็ด แข่งทีหลัง ถ้าชนะก็ยึดคืนกลับมา ปีนี้มีการเปลี่ยน "จ่าฝูง" กัน 7 ทีม สลับไปมา ไม่มีใครได้อยู่แบบยาวๆ
นี่จึงเป็นความสนุกในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกปีนี้...
ก็เหมือนที่ "น้าลูกอม" พูดนั่นแหละ ไม่มีใครจำตารางคะแนนเดือนมกราคมหรอกครับ ดังนั้น....ลุ้นกันยาวไป
By Jackie Siamsport
สมัครสมาชิกเเละขอรับโบนัสได้ที่นี่ สมัครได้ที่ : http://bit.ly/2CNiJbP
มีบริการดูเเล 24 ชั่วโมง สามารถพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ผ่านทางไลน์ ได้สะดวกสุดๆ
ลงทะเบียนที่เว็บไซต์ 1XBET แล้วรับโบนัส 100% มูลค่าสูงสุดถึง 100 EUR (หรือเทียบเท่าในสกุลเงินอื่น) จากการฝากครั้งแรกในหน้ากีฬาได้ทันที!
สมัครได้ที่ : http://bit.ly/2CNiJbP
ลิงก์สมัคร สำรอง http://bit.ly/2NVQJcl
***สอบถามเงือนไขเพิ่มเติมผ่าน ไลน์ ตลอด 24 ชั่วโมง @1XSUPPORT : หรือคลิก https://line.me/R/ti/p/%40616ybwhk
เราพร้อมให้บริการความสุขอย่างเต็มที่ ระบบ ฝาก - ถอน ออโตเมติก ไม่ผ่านเจ้าหน้าที่ หรือสามารถ ฝาก - ถอน ผ่าน LINE Pay เเละ True wallet หรือ พร้อมเพย์ สะดวกสบายสำหรับสมาชิก พร้อมให้บริการเเล้ววันนี้ ! ตลอด 24 ชม.
โพสต์โดย : แจกฟรีสปินหมุนฟรี จก 1XBET เมื่อ 20 ม.ค. 2564 17:01:54 น. อ่าน 492 ตอบ 1
RE : พรีเมียร์ลีกผ่านถึงครึ่งทางละครับ บางทีม 19 บางทีมยังไม่ถึง ขาดนัดสองนัด แต่ก็พอสรุปความได้ว่าปีนี้ "เข้มข้น" และ "สนุกเอาเรื่อง"
ตอบโดย : fluk เมื่อ 31 มี.ค. 2560 04:20:03 น. ตอบคำถาม