สิ่งที่น่าเสียดายเมื่อเห็นความสนุกจากเกมนัดนี้ก็คือแฟนบอล ถ้าเกมแบบนี้ที่สู้กันถึงพริกถึงขิงอย่างนี้มีแฟนบอลเข้าสนามเต็มความจุ 76,000 คนของโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มันคงจะเป็นบรรยากาศที่ลืมไม่ลงไปอีกนาน
หลายครั้งที่เกมแดงเดือดไม่เดือดอย่างชื่อด้วยความระแวดระวังเน้นผลการแข่งขันไม่แพ้เอาไว้ก่อน
แต่ไม่ใช่ครั้งนี้..
อาจจะด้วยสถานการณ์บนตารางคะแนนที่ทำให้เกมนี้เปิด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้แชมป์แน่นอนและได้ไปแชมเปี้ยนส์ ลีกแน่นอน ทั้งยังผ่านเข้าชิงถ้วยยูโรปา ลีก ความกดดันที่เคยมีหายไปแล้ว เสียงก่นด่าจากโลกโซเชียลก็ซาลงไปมาก
ยูไนเต็ดเล่นด้วยความสบายใจขึ้น ไม่เครียด ไม่กดดัน มันคือเกมที่พวกเขาขาดความรัดกุมชัดเจน การไม่มี แฮร์รี่ แม็กไกวร์ คือเหตุผลหนึ่ง แต่ความละเอียดในการเล่นก็เป็นอีกเหตุผลที่คล้ายจะทำร้ายตัวเอง
นักเตะปีศาจแดงเสียบอลง่ายๆ บ่อยครั้งทั้งจากความพยายามในการผ่านบอลและความพยายามในการเลี้ยงบอลฝ่าผู้เล่นลิเวอร์พูล ตรงนี้มี 2 องค์ประกอบผสมกันอยู่ มันเป็นเพราะวิธีการเล่นของลิเวอร์พูลด้วยที่บีบเข้าบอลเร็วไม่เปิดพื้นที่และเวลาให้นักเตะเจ้าถิ่นได้คิดได้ทำอะไรตามใจชอบ
เหตุผลของการเสียบอลง่ายของนักเตะยูไนเต็ดดูจะเป็นกรณีหลังมากกว่า เกมนี้เดอะค็อปคงชื่นใจกับความทุ่มอย่างบ้าดีเดือดของทุกคนในสนาม.. มันคือ "ทุกคน" ในสนามจริงๆ
โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ไม่ได้เจ๋งแค่ 2 ประตูที่ทำได้ แต่เขาแจ๋วสุดๆ ไปเลยกับการวิ่งนำเพื่อนไล่บีบกดดันในแดนบนตลอด 90 นาที บ๊อบบี้วิ่งและวิ่งไม่มีหมด การพุ่งเข้าหาบอลของเขานั้นน่าหวาดหวั่นจริงๆ สำหรับใครที่ครองบอลอยู่เพราะเขามาเร็ว และดุดัน
ผมยังชอบการตัดสินใจโขกทีเดียวตุงตาข่ายไปเลยของเขาในประตู 2-1.. นี่คือสิ่งที่ต้องการจากเจ้าของเสื้อหมายเลข 9
คนเป็นกองหน้าต่อให้บทบาทฟอลส์ไนน์แต่ถึงจังหวะจบสกอร์ก็ขอให้จบเองบ้าง ฟีร์มีโน่ใจกว้างหลายครั้งแล้วเราอยากเห็นความเด็ดขาดอย่างนี้บ้างซึ่งจังหวะนั้นเขาตัดสินใจได้เฉียบขาด ไม่คิดจะโหม่งชงเข้าไปตรงกลางแต่โขกยัดเข้าเสาแรกไปเลย
ความเฉียบขาดแบบนี้และทำประตูสำคัญให้ทีมได้ในนาทีแบบนั้น.. ประตูแซงนำในนาทีสุดท้ายของการทดเวลาครึ่งแรก
ไม่มีอะไรจะสมบูรณ์แบบสำหรับการลุ้นอย่างใจจดใจจ่อมากไปกว่านี้อีกแล้ว
สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดคือความทุ่มเทและการช่วยกันเล่นของนักเตะลิเวอร์พูล ความตื่นตัวของขุนพลหงส์แดงเกิดขึ้นทุกแดนตั้งแต่กองหลัง กองกลาง ยันกองหน้า รักษาพื้นที่ของตัวเองได้ดี ไม่เปิดช่องระหว่างแดนให้ผู้เล่นยูไนเต็ดมีโอกาส
บอลชิ่ง 1-2 ในแดนเข้าทำของแมนฯ ยูไนเต็ด น่ากลัวขึ้นมากในยุคโอเล่ กุนนาร์ โซลชา มันคือวิธีการเล่นง่ายๆ เต็มไปด้วยประสิทธิภาพที่เห็นบ่อยๆ ในยุคเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แต่เกมนี้ลิเวอร์พูลไม่เปิดโอกาสให้คู่อริได้เล่นอย่างนั้นเลย
ฟาบินโญ่, ติอาโก้, จินี่ ไวจ์นัลดุม, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ช่วยกันไล่ปิดพื้นที่ไม่ให้เกิดช่อง ขณะเดียวกันก็จ้องดักแย่งบอลตลอดเวลา
บีบให้รีบเล่น กดดันให้เล่นเร็วหรือต้องพาบอลหนีเอาตัวรอดเพราะส่งให้เพื่อนไม่ได้ แล้วรอฉกจังหวะสอง นี่คือกลยุทธที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ วางมาเล่นงานทีมของโซลชา
เมื่อกลยุทธที่วางเอาไว้ได้ผล เกมก็เดินหน้าไหลลื่นได้ไม่สะดุด ความเร็วของเกมนี้แตกต่างจากแดงเดือดหลายครั้งที่ผ่านมา และแน่นอนเกมที่เร็วย่อมทำให้คนดูรู้สึกสนุก แต่แฟนบอลยูไนเต็ดคงจะหงุดหงิดกับการเสียบอลง่ายของทีมตัวเองมากกว่า
ยูไนเต็ดเองก็สู้ได้ดี พวกเขาพยายามผ่านบอลเอาชนะการบีบของคู่อริ ให้บอลเร็ว เคลื่อนที่เร็ว จังหวะเปิดให้เมื่อไหร่ก็พร้อมทำทันทีเหมือนกันแต่เกมป้องกันของลิเวอร์พูลไม่หลุดสมาธิ คู่เซนเตอร์ทั้ง แนท ฟิลลิปส์ และ รีส วิลเลียมส์ ไม่มีเข้าพรวดเลย ใจเย็นอ่านจังหวะสกัด บล็อก หรือเข้าปะทะได้ไม่ตกหล่น โดยเฉพาะแนทที่เด่นเข้าตามากทั้งฟอร์มและบุคลิก
การวาง รีส วิลเลียมส์ ยืนเซนเตอร์แบ๊กคู่กับ แนท ฟิลลิปส์ ในเกมนี้ยืนยันอีกครั้งว่า คล็อปป์ จะไม่ใช้ ฟาบินโญ่ ลงไปเล่นเซนเตอร์อีกแล้วถ้าไม่จำเป็น เวลาแห่งความไม่มั่นใจในเซนเตอร์แบ๊กอาชีพหมดลงแล้ว
มันอาจจะถึงเวลาที่เซนเตอร์แบ๊กเหล่านั้นโตพอที่จะเล่นด้วยกันได้น่าวางใจในระดับหนึ่งแล้ว วางใจได้พอที่จะให้ฟาบินโญ่ปักหลักในตำแหน่งหมายเลข 6 ที่ถนัด เขาจะวางใจคู่เซนเตอร์แบ๊กของตัวเองเต็มร้อยไหมไม่รู้ แต่ทั้งเซ็ตคือคู่เซนเตอร์บวกฟาบินโญ่สามารถไปด้วยกันได้โดยวางใจได้มากกว่าช่วง 2-3 เดือนก่อนแล้ว
ฟาบินโญ่เล่นได้ดีตามมาตรฐานของตัวเอง แต่ที่มองข้ามไม่ได้คือคนที่เล่นกองกลางร่วมกับเขาทั้งติอาโก้และไวจ์นัลดุมที่ควบคุมพื้นที่ตรงกลางได้อย่างหนักแน่นไม่มีโอนเอน
บอลที่จะทำร้ายคู่เซนเตอร์แบ๊กมีน้อย การเพรสซิ่งดุเดือดของลิเวอร์พูลทำให้ตัวปั้นเกมอย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ไม่ได้คายพิษสงนักและบอลแทบไปไม่ถึง เอดินสัน คาวานี่
ผมคิดว่าบุคลิกของลิเวอร์พูลแสดงออกมาชัดเจนในเกมนี้ มันคือหนึ่งในเกมที่พวกเขาเล่นได้ดีที่สุดในฤดูกาล บีบให้คู่แข่งพลาดแล้วลงโทษและก็ทำได้อย่างไร้ที่ติ บอลน่าจะไปจบที่ก้นตาข่ายมากกว่า 4 ครั้งด้วยซ้ำหากไม่ใช่ยิงพลาดไปเองหรือ ดีน เฮนเดอร์สัน ช่วยป้องกันให้ยูไนเต็ดได้
แดงเดือดยกนี้ลิเวอร์พูลเป็นผู้ชนะ ชนะด้วยฟอร์ม ด้วยความมุ่งมั่น และความเด็ดขาด โซลชาและลูกทีมคงจะต้องเก็บความผิดพลาดไปเป็นการบ้านเพื่อกลับมาแก้มือในฤดูกาลหน้า
เทรนต์ กับ ฟีร์มีโน่ คือแคนดิเดตแมนออฟเดอะแมตช์สำหรับผม ผมชอบการเล่นของฟีร์มีโน่มากโดยเฉพาะความฟิตเต็มถังที่ไล่บีบแดนบนจนจบเกม นาที 90+ แล้วยังวิ่งปรี่เข้าใส่กองหลังปีศาจแดง แต่เทรนต์มีบทบาทกับเกมทั้งหมดมากกว่า ช่วยรับ ช่วยรุก สร้างโอกาสให้เพื่อน และทำแอสซิสต์ เหมือนบอลผ่านไปพื้นที่ไหนก็เจอเขา กระทั่งหลุดเข้าไปยิงในเขตโทษด้านซ้ายก็ยังไปอยู่ตรงนั้น
ลิเวอร์พูลเล่นได้น่าชื่นใจสมกับที่แฟนบอลต้องนอนดึกและลุ้นกันระทึกก่อนเกมว่าความพ่ายแพ้ของเชลซีทำให้โอกาสไปแชมเปี้ยนส์ ลีกอยู่ในมือเราก็จริง แต่การเยือนโรงละครแห่งความฝันในเวลานี้แล้วเอาชนะกลับออกมาคืองานยากระดับเข็นครกขึ้นภูเขาเหมือนกัน
แต่ขุนพลหงส์แดงก็ทำให้เห็นว่าถ้าช่วยกันเข็น โอบกอดแตะบ่าตบไหล่กระตุ้นให้กำลังใจกัน สู้เพื่อกันและกันมันก็ไปถึงยอดเขาได้
สิ่งที่ยังมองเห็นอยู่ว่าเป็นปัญหาคือความมั่นใจในการออกบอลด้วยเท้าของ อลีสซง เบ็คเกอร์ ฤดูกาลนี้หรือเจาะลึกลงไปอีกคือนับตั้งแต่เกมแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-4 ในแอนฟิลด์เขายังเรียกความเชื่อมั่นในการเล่นด้วยเท้ากลับมาไม่ได้เลย คล้ายลังเลไม่กล้าเตะ ให้น้ำหนักขาดๆ เกินๆ ทิศทางผิดเพี้ยน
มันคือฤดูกาลที่หนักมากสำหรับเขา ต้องสูญเสียคุณพ่อและไม่สามารถกลับไปร่วมงานศพได้ ทั้งยังเจอปัญหาภายในทีมที่เซนเตอร์แบ๊กตัวหลักเจ็บกันหมด อะไรๆ ก็แย่ มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นได้และเดอะค็อปคงเป็นกำลังใจให้เขาเรียกความมั่นใจกลับมาให้ได้โดยเร็ว
ความเด็ดขาดในการจบสกอร์ก็เช่นกัน อันที่จริงเกมยากอย่างนี้ชนะ 4-2 ถือว่าไม่มีอะไรเยี่ยมไปกว่านี้อีกแล้ว แต่โอกาสทองอย่างลูกหลุดเดี่ยวของ ดีโอโก้ โชต้า ที่ต้องฝังเป็น 4-1 แล้วทำไม่ได้มันอาจเปลี่ยนเป็นผลลัพธ์อันเลวร้ายได้ง่ายๆ หากเป็นวันอื่นหลังจากโชต้าเปลี่ยนสกอร์เป็น 4-1 ไม่ได้ แมนฯ ยูไนเต็ดฮึดสู้ขึ้นมาอย่างน่าดู ประตู 3-2 ของ มาร์คัส แรชฟอร์ด เกิดขึ้นจริงๆ ตามสูตรของการลงโทษทีมที่ไม่เด็ดขาด หลังจากนั้นลิเวอร์พูลก็ต้องเป็นฝ่ายตั้งการ์ดต้านทานการโหมบุกของเจ้าถิ่น ได้แต่ดักรอโอกาสอย่างอดทนกระทั่งมันมาถึงในที่สุด
เชื่อว่าเดอะค็อปทุกคนโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอกเมื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำประตู 4-2 อาการปลดปล่อยของเขากับคล็อปป์บอกทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว
เมื่อขมวดรวม 90 นาทีของศึกแดงเดือดยกนี้ก็ถือว่าน่าประทับใจมาก ชนะเกมใหญ่ สามคะแนนใหญ่ และที่สำคัญคือหลังจากนี้ทุกอย่างอยู่ในมือตัวเอง
ฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลปล่อยโอกาสหลุดลอยไปหลายครั้ง โยนโอกาสทิ้งไปเองหลายหน นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่โอกาสลอยมาอยู่ในมือ ถืออยู่ในมือตัวเองอย่างที่เห็นกันอยู่ตรงหน้า
ถ้าชนะในอีก 3 เกมที่เหลือก็ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาลหน้า 90 เปอร์เซนต์ มีกรณีเดียวที่ลิเวอร์พูลเก็บ 9 คะแนนเต็มจาก เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน, เบิร์นลี่ย์ และคริสตัล พาเลซ ได้แต่ไม่ได้ไปเตะแชมเปี้ยนส์ ลีก คือ เชลซีชนะเลสเตอร์กับแอสตัน วิลล่า และเลสเตอร์ถล่มสเปอร์สกระจุยกระจายจนประตูได้เสียแซงหน้าหงส์แดงในเกมสุดท้าย
. ถ้าเป็นอย่างนั้น.. ก็ต้องยอมรับ แล้วบอกกับตัวเองว่าเต็มที่ที่สุดแล้ว ฤดูกาลหน้าพยายามใหม่
หากมันยังอีกไกลกว่าจะไปถึงตรงนั้น มีเวลาดีใจหรือเป็นกังวลไม่มากนักหรอกครับ วันอาทิตย์นี้เกมเยือนเดอะแบ๊กกี้ส์ก็จะมาถึงแล้ว นับถอยหลัง 3 เกมสุดท้ายของฤดูกาลแล้ว
. ชนะแดงเดือดได้แต่ไปแพ้ที่เดอะฮอว์ธอร์นส์ก็จบเห่เอาง่ายๆ เหมือนกัน ทุกเกมนับจากนี้ก็เหมือนศึกใหญ่ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดเมื่อคืนนั่นแหละ มันคือนัดชิงแชมเปี้ยนส์ ลีกทุกเกม
"ตังกุย"
CR. siamsport อัพเดทข่าวกีฬาได้ที่นี่ https://bit.ly/3kU1rPB
อัพเดทก่อนใครทั้งสถิติ ผลบอล วิเคราะห์บอล และผลการเเข่งขัน ไปพร้อมกับราคาค่าน้ำดีที่สุด มากที่สุดไปกับเรา ห้ามพลาด !
เท่านั้น! สอบถามกับเจ้าหน้าที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ดูข้อมูลเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3ef2AMA
****สมัครสมาชิกรับโบนัส 50 ฟรีสปิน***
ติดต่อเจ้าหน้าที่ 24 ชั่วโมง
Add line : @1XSUPPORT : https://line.me/R/ti/p/%40616ybwhk
ไลน์สำรอง LINE ID: @1xchat หรือคลิก https://line.me/R/ti/p/%401xchat
โพสต์โดย : Kate Hoffmeyer เมื่อ 24 พ.ค. 2564 18:11:20 น. อ่าน 484 ตอบ 0